คุณสมบัติ 5 ข้อ ที่ต้องรู้ ก่อนผ่าตัดแปลงเพศ
- ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป
ต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป (ในกรณีที่อายุ 18 -20 ปี ต้องมีจดหมายรับรองจากผู้ปกครองเพื่อยินยอมการผ่าตัด) ส่วนอายุน้อยกว่า 18 ปี ยังไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้
- ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง
ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงติดต่อกันเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป โดยที่มีความรู้สึกเป็นหญิงมานานแล้ว รวมถึงเคยได้รับฮอร์โมนเพศหญิงมาก่อนอย่างน้อย 1 ปี
- ผ่านการประเมินสภาพจิตใจ
ผ่านการประเมินสภาพจิตใจและมีใบรับรองจากจิตแพทย์อย่างน้อย 2 ท่าน
- สุขภาพร่างกายแข็งแรง
สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่รุนแรงที่เป็นข้อห้ามในการดมยาสลบ
ผลลัพธ์หลังแปลงเพศ
- หลังทำรูปลักษณ์ภายนอก จะเปลี่ยนไปเป็นแบบผู้หญิง ซึ่งเทคนิคในปัจจุบันศัลยแพทย์สามารถทำได้เหมือนธรรมชาติ
- ส่วนของช่องคลอดก็จะมีความลึก ความกว้างตามสรีระของแต่ละคน โดยทั่วไปในคนเอเชียสามารถสร้างช่องคลอดได้ลึกประมาณ 5-6 นิ้ว
- สามารถใช้งานได้จริง มีเพศสัมพันธ์ได้
ที่สำคัญเทคนิคการผ่าตัดแปลงเพศศัลยแพทย์จะเก็บเส้นประสาทที่รับความรู้สึกทางเพศไว้ได้ทั้งหมด โดยทั่วไปตำแหน่งที่รับความรู้สึกทางเพศได้ คือ คลิตอริส แคมใน และรอบท่อปัสสาวะ
นอกจากนี้ยังมีแผลผ่าตัดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็คือตำแหน่งตะเข็บรอยเย็บบริเวณแคมนอก ซึ่งจะมีแผลอยู่กึ่งกลางแคม หรือซ่อนอยู่ที่ขอบแคม หลังจาก 6 เดือน- 1 ปี แผลจะค่อยๆ จางไป ซึ่งการหายของแผลใช้ระยะเวลาไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
เตรียมตัวอย่างไรก่อนผ่าตัดแปลงเพศ
- ต้องเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อแพทย์ที่ทำการผ่าตัดจะได้ทราบถึงสภาพความพร้อมของร่างกาย
- หากรับประทานยาชนิดใดอยู่ ควรแจ้งให้แพทย์ที่ทำการผ่าตัดทราบ เพื่อแนะนำว่าควรหยุดยาหรือเปลี่ยนแปลงตัวยาก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือไม่
- ควรหยุดใช้ยาฮอร์โมนล่วงหน้า 1 เดือน
- งดวิตามิน อาหารเสริม 2 สัปดาห์
- งดสูบบุหรี่ 1 เดือน
- งดแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์
- ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย 2-3 วัน เพื่อให้ภายในลำไส้มีการตกค้างของกากอาหารน้อยลง ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
ดูแลตัวเองอย่างไรหลังผ่าตัดแปลงเพศ
- หลังผ่าตัดนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 5 วัน
- ในช่วง 2 วันแรก ควรลดอาหารที่มีกากและเครื่องดื่มประเภทนมที่อาจทำให้มีกากและเกิดการขับถ่ายมาก เพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด
- ควรทำความสะอาดช่องคลอดด้วยน้ำยาป้องกันและฆ่าเชื้อโรค หรือน้ำเกลือล้างแผล วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น และวันละ 1 ครั้ง หลัง 1 เดือน จนประมาณ 6 เดือน
- ทาขี้ผึ้งรักษาที่บริเวณแผล รูเปิดท่อปัสสาวะ และคลิตอริสทุกครั้งหลังอาบน้ำ
- สามารถลุกเดินได้หลังผ่าตัด 5 วัน
- หากเกิดความผิดปกติต่างๆ เช่น ปัสสาวะขัด, ช่องคลอดตีบ, ปากช่องคลอดหดแคบ, แผลผ่าตัดแยก แนะนำให้มาพบแพทย์
- ควรรับประทานฮอร์โมน เพื่อคงสภาพความเป็นหญิงอย่างต่อเนื่อง สามารถเริ่มรับประทานฮอร์โมนหลังการผ่าตัดไปแล้ว 1 เดือน
- ควรใส่วัสดุขยายช่องคลอดเทียม หรือการแยงโม เพื่อป้องกันไม่ให้ช่องคลอดตีบตัน โดยแนะนำให้แยงโมทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ครั้งละ 15-30 นาที นาน 1 ปี หลัง 1 ปีขึ้นไปหากมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอไม่จำเป็นต้องแยงโม แต่เมื่อไรที่ไม่มีเพศสัมพันธ์ให้แยงโมอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง สำหรับการผ่าตัดแบบต่อลำไส้จำเป็นต้องแยงโมบริเวณปากทางช่องคลอดวันละ 1 ครั้ง
Reviews
There are no reviews yet.